การขาย·
กลยุทธ์การตั้งราคาเหล็กและเมทัลชีท: คุมกำไรได้แม้ราคาวัตถุดิบผันผวน
แนวทางตั้งราคาแบบต้นทุนบวกกำไร (Cost-Plus), การอิงราคาตลาด (Index), ส่วนลดขั้นบันได และการทำโปรโมชันโดยไม่เผากำไร
โมเดลตั้งราคาหลัก
- Cost-Plus: ราคาขาย = ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย + กำไรเป้าหมาย (เช่น 12–18%)
- Market Index: อิงดัชนีราคาเหล็ก/คอยล์รายสัปดาห์ แล้วปรับส่วนต่างให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
- Tiered Discount: ส่วนลดตามยอดซื้อ/ประเภทลูกค้า รักษา GP ขั้นต่ำ
เครื่องมือที่ควรมี
- สูตรคำนวณต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (FIFO/Moving Average)
- ตารางส่วนลดตามกลุ่มลูกค้า: ช่าง, ผู้รับเหมา, โครงการ
- ราคาหน้าร้าน/ออนไลน์แยกกัน พร้อมควบคุม Margin ต่ำสุด
โปรโมชันแบบไม่เผากำไร
- Bundle: แผ่นเมทัลชีท + น็อตยิง + แผ่นปิดครอบ
- Volume Rebate: คืนส่วนลดปลายเดือนเมื่อแตะยอด
- Flash Deal เฉพาะสเปคที่มีสต็อกล้นเพื่อลดทุนจม
ตัวอย่างสูตรตรวจ GP เร็ว
- GP% = (ราคาขาย-ต้นทุน)/ราคาขาย × 100
- ตั้ง Threshold แจ้งเตือนหาก GP ต่ำกว่า 10–12% สำหรับสินค้าหลัก
คำแนะนำ
- อัปเดตราคาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งตามราคาคอยล์และค่าโลจิสติกส์
- แยกกำไรของสินค้างานบริการ (ตัด/รีด/ส่ง) ออกจากตัวสินค้าเพื่อมองเห็นจริง
พื้นฐานการผลิตเมทัลชีท: ตั้งค่าเครื่อง รีดลอน และคำนวณวัตถุดิบ
คู่มือย่อสำหรับโรงงานรีดเมทัลชีท ตั้งแต่การเลือกคอยล์ การตั้งค่าเครื่องรีดลอน การคำนวณน้ำหนักต่อเมตร ไปจนถึงการลดของเสีย
จัดการสต็อกเหล็กและเมทัลชีท: FIFO, ถัวเฉลี่ย, จุดสั่งซื้อ และ Cycle Count
แนวทางปฏิบัติสำหรับร้านเหล็ก/โรงงานเมทัลชีทในการคุมสต็อก ลดของหาย และเพิ่มรอบหมุน พร้อมสูตรคำนวณที่ใช้ได้จริง